กรุงเทพฯ 25 พฤศจิกายน 2568
โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 3.1% บีไอจี ผู้นำนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทยจึงได้จัดงานสัมมนา Generating a Cleaner Future Forum 2025 ขึ้นเป็นปีที่ 3 เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและทิศทางในการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไทยสู่การลดคาร์บอนอย่างยั่งยืน
งานนี้ได้รับเกียรติจากผู้เข้าร่วมงานระดับสูงหลายท่าน อาทิ ดร.กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคุณบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
คุณรามานี เวลู กรรมการผู้จัดการ บีไอจี กล่าวเปิดงานในหัวข้อ Generating a Cleaner Future โดยฉายภาพถึงภูมิทัศน์เศรษฐกิจและความหวังของโลกว่า ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการที่เกิดจากความตึงเครียดทางเทคโนโลยี การปกป้องทางการค้า และการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงิน ตัวอย่างของความท้าทายระดับโลกเหล่านี้รวมถึงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เช่น อเมริกาต้องมาก่อน (America First) การถอนตัวจากข้อตกลงระดับโลกบางส่วน และการเพิ่มแรงกดดันต่อพันธมิตรดั้งเดิม
นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในนโยบายเศรษฐกิจ เช่น การกำหนดอัตราภาษีและการเจรจาข้อตกลงทางการค้าใหม่ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในนโยบายพลังงาน และการมุ่งเน้นไปที่แร่หายาก (แรร์เอิร์ธ: Rare Earths) ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกถูกมองด้วย “ความหวังอย่างระมัดระวัง” เป็นอย่างยิ่ง
ในด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานในเอเชียระหว่างปี 2010 ถึง 2024 นั้น ถือว่ามีแนวโน้มที่เป็นบวก โดยมีการติดตั้งพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากประมาณ 0.5 เทระวัตต์ เป็นประมาณ 2.6 เทระวัตต์ ภูมิภาคนี้มีการลงทุนรวมมูลค่าเกินกว่า 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีการบริโภคพลังงานจากพลังงานหมุนเวียนเหล่านี้มากกว่า 50% ของการบริโภคทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแนวโน้มที่ดีเหล่านี้ แต่เรายังคงต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างหนัก ซึ่งรวมถึงถ่านหิน นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดที่เกิดจากนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานในการเปลี่ยนผ่านและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด
คุณรามานีได้เน้นย้ำถึงบทบาทของบริษัทในการเปลี่ยนผ่านนี้ กลยุทธ์ของบีไอจีฝังรากอยู่ในภารกิจ “Generating a Cleaner Future” ด้วยการนำเสนอโซลูชันในรูปของก๊าซอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ และการอำนวยความสะดวกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไฮโดรเจน
ตั้งเป้า Net Zero เป็นผู้นำด้วยการเป็นแบบอย่าง
เพื่อตอกย้ำถึงความคิดริเริ่มด้านความยั่งยืน ในปี 2024 เพียงปีเดียว ผลิตภัณฑ์ของบริษัทช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 3.5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e) ปริมาณนี้มากกว่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของบริษัทเองประมาณ 8 เท่า นอกจากนี้ รายได้ 56% ของบริษัทมาจากกิจกรรมที่ยั่งยืน โดยบริษัทยังตั้งเป้าที่จะลดการปล่อย CO2 ขอบเขต 1 และขอบเขต 2 ลงเกือบ 35% และขอบเขต 1-3 ลดลง 20% อีกด้วย
รายงาน Sustainability Highlight ของบีไอจีสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
- ลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากขึ้นถึง 26% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
- การจัดการภายในโรงงานช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 200,000 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
- ด้านความหลากหลายทางสังคม บริษัทมีพนักงานที่เป็นชนกลุ่มน้อยในตำแหน่งวิชาชีพและบริหารถึง 35%
- สามารถลดอัตราการบาดเจ็บที่ทำให้พนักงานต้องหยุดงานลงได้ถึง 69%
- ได้บริจาคเงินจำนวน 1.5 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนชุมชนอย่างต่อเนื่อง
บีไอจีประกาศแผนงาน Sustainability Roadmap เพื่อขับเคลื่อนสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากปีฐาน 2021 ที่มีความเข้มข้นของคาร์บอนอยู่ที่ 283,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อตันผลิตภัณฑ์ ก่อนจะเดินหน้าสู่เป้าหมายสำคัญในปี 2028 ด้วยการกำหนดเพดานการปล่อย CO2e ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ต่อเนื่องถึงปี 2030 ที่ตั้งเป้าลดความเข้มข้นของคาร์บอนลง 36% (ไม่รวมธุรกิจไฮโดรเจน) และปี 2035 ที่มุ่งลดการปล่อย CO2e แบบสมัครใจถึง 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือคิดเป็น 60%
ขณะที่ปี 2040 จะขยายผลการลดความเข้มข้นของคาร์บอนลง 40% ครอบคลุมทุกกิจกรรมและการผลิต ก่อนจะไปสู่เป้าหมายสูงสุดในปี 2050 คือการบรรลุ Net Zero หรือการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบีไอจีในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่พลังงานสะอาดและความยั่งยืนในระยะยาว
“บีไอจีจะนำการเปลี่ยนแปลงนี้มาสู่ประเทศไทย เพราะมองว่านวัตกรรมคาร์บอนต่ำจะช่วยปลดล็อกตลาดใหม่และความร่วมมือใหม่ๆ สิ่งนี้จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถวางตำแหน่งตัวเองเป็นศูนย์กลางการผลิตที่ยั่งยืนระดับภูมิภาค การเป็นผู้ริเริ่มที่รวดเร็ว หรือเป็นรายแรก จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถดึงดูดการลงทุนและได้รับความได้เปรียบทางด้านเทคโนโลยีและบุคลากรที่มีความสามารถ”
ระบบนิเวศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ (Strategic Business Ecosystem)
คุณรามานีกล่าวทิ้งท้ายว่า บีไอจีได้เน้นย้ำถึงความร่วมมือกับ ปตท. ซึ่งรวมถึงโรงงาน MAP ที่ผลิตก๊าซอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ โรงงานแห่งนี้เป็นโรงงานแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การมีอยู่ของโรงงานนี้แสดงให้เห็นว่าบีไอจีไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ปรับตัว แต่กำลังเปิดใช้งานการเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตที่สะอาดกว่าอย่างแน่นอน ล่าสุดบีไอจียังได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อจัดตั้งโรงงาน MAP แห่งที่ 2 ร่วมกับ ปตท. เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของคาร์บอนต่ำ
ผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นของบีไอจีได้สนับสนุนอุตสาหกรรมหลายประเภท รวมถึงอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ, อาหาร, เหล็ก, อิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, ปิโตรเคมี, เยื่อกระดาษ, และกระดาษ โดยช่วยให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และคงความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ การดำเนินการนี้แสดงให้เห็นว่าบีไอจีและพันธมิตรกำลังร่วมกันสร้างระบบนิเวศการทำงานร่วมกัน (Collaborative Ecosystem) เพราะเราจำเป็นต้องดูแลอนาคตเพราะเราต้องการให้อนาคตดูแลเราเช่นกัน
Share: [Sassy_Social_Share]
ประเทศไทย |


