ความปกติรูปแบบใหม่หรือที่เรียกกันว่า New Normal ถือเป็นคำพูดที่ตอนนี้เราพูดกันจนติดปากและเริ่มคุ้นชินมากขึ้น ที่ผ่านมาหลาย ๆ คนคงไม่ทันได้คาดคิดมาก่อนว่าเพียงเชื้อไวรัสที่เกิดขึ้นในเมืองอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนชนจีนจะเพิ่มความรุนแรงสู่การระบาดครั้งใหญ่ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก วิกฤตไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่ส่งผลกระทบในทุก ๆ ด้าน เกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ แต่ในบางครั้งการเปลี่ยนแปลงก็จู่โจมเราโดยไม่ทันตั้งตัว ซึ่งเรามักจะนึกถึงคำว่า “ความยั่งยืน” เมื่อต้องรับมือกับความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใด
แนวคิดในการสร้างความยั่งยืนเริ่มทวีความสำคัญมากขึ้น นับตั้งแต่ที่อนาคตของเราเริ่มประสบกับความไม่แน่นอนจากการระบาดครั้งนี้ ดังนั้นการสร้างความยั่งยืนจึงเป็นประเด็นที่ได้รับการหยิบยกและพูดถึงอย่างกว้างขวาง ด้วยเชื่อว่าความยั่งยืนจะสามารถบรรเทาความเสี่ยงอันเกิดจากเหตุการณ์อื่น ๆ ในอนาคตซึ่งอาจมีผลกระทบและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนได้
ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศได้ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนที่ว่านี้ โดยได้มีการพัฒนาพลังงานสะอาดที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อให้เกิดการเติบโตที่ยั่งยืนควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำหรืออากาศที่เสื่อมโทรม มนุษย์จะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง รวมทั้งอาจส่งผลให้เกิด New Normal ใหม่ ๆ อีกมากมาย
สำหรับในประเทศไทย กลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศรวมถึงผู้นำนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมครบวงจรของประเทศไทยอย่าง “บีไอจี” ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนนั่นคือ การใช้ก๊าซไฮโดรเจน
ก๊าซไฮโดรเจน (H2) ถือเป็นพลังงานทางเลือกที่สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะไม่มีสารประกอบคาร์บอนซึ่งก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก ทั้งนี้ การใช้พลังงานไฮโดรเจนผ่านเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) จะได้ผลผลิตที่เป็นพลังงานไฟฟ้าซึ่งจะมีการปลดปล่อยเพียงแค่น้ำออกมาแทนการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามกระบวนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าในปัจจุบัน และน้ำที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นเป็นน้ำบริสุทธิ์ที่อยู่ในรูปแบบของไอน้ำ
อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลิตก๊าซไฮโดรเจนในปัจจุบันที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบในการผลิต หรือที่เรียกว่า รีฟอร์มมิงด้วยไอน้ำ (Steam Reforming) ยังคงมีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวการสำคัญของปรากฏการณ์โลกร้อน (Global Warming) ดังนั้นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วรวมถึงกลุ่มบริษัท ฯ ชั้นนำในประเทศไทย จึงมีความพยายามในการพัฒนาการผลิตก๊าซไฮโดรเจนให้เป็นพลังงานที่สะอาดและยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
การพัฒนากระบวนการผลิตก๊าซไฮโดรเจนที่สะอาดและยั่งยืนดังกล่าว คือการนำพลังงานหมุนเวียนอย่างพลังงานจากแสงอาทิตย์มาแยกน้ำบริสุทธิ์ให้กลายเป็นก๊าซไฮโดรเจน โดยกระบวนการผลิตนี้ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาและผลลัพธ์ที่ได้ คือ “ก๊าซไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen)” ซึ่งก๊าซไฮโดรเจนที่ได้จะถูกนำไปผ่านเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อเป็นแหล่งพลังงานในการผลิตกระแสไฟฟ้าต่อไป
ถึงแม้ว่ากระบวนการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวจะยังคงมีราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการผลิตไฮโดรเจนด้วยกระบวนการรีฟอร์มมิงด้วยไอน้ำ แต่ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้กระบวนการผลิตก๊าซไฮโดรเจนสีเขียวเริ่มมีต้นทุนในการผลิตที่ลดต่ำลง ดังนั้น การสร้างความร่วมมือเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตก๊าซไฮโดรเจนสีเขียวในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือในกลุ่มบริษัทชั้นนำของแต่ละประเทศรวมถึงบีไอจีเอง จะสนับสนุนให้เกิดกระบวนการผลิตก๊าซไฮโดรเจนสีเขียวดังกล่าวที่มีต้นทุนการผลิตที่ถูกลงและแข่งขันได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับผู้ใช้พลังงานและสิ่งแวดล้อมในที่สุด
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
- แอร์โปรดักส์ อัควาเพาเวอร์ และนีออมลงนามข้อตกลงก่อสร้างโรงงานมูลค่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐในเมืองใหม่นีออม เพื่อผลิตและส่งออกไฮโดรเจนสู่ตลาดโลกด้วยพลังงานหมุนเวียน
- แอร์โปรดักส์และธิสเซ่นครุปป์ลงนามข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงงานแยกน้ำด้วยไฟฟ้าระดับโลกเพื่อผลิตไฮโดรเจน