บางกอกอินดัสเทรียลแก๊สนำ “นวัตกรรม” มาพัฒนาต่อเนื่องเพื่อบุกเบิกวงการก๊าซอุตสาหกรรม กลายเป็นอีกกุญแจสำคัญนำองค์กรก้าวสู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมเบอร์หนึ่งของประเทศไทย
เริ่มธุรกิจด้วยเป้าหมายผลิตก๊าซเพื่อรองรับอุตสาหกรรมด้านเคมีภัณฑ์และปิโตรเคมีในประเทศไทย หากภายใต้วิสัยทัศน์เรื่อง “ความยั่งยืน” เสมือนเป็นโจทย์สำคัญที่ทำให้ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ บีไอจี วางทิศทางไปสู่ความเป็นองค์กรนวัตกรรม โดยเดินหน้าพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ก๊าซอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องและตลอดระยะเวลาของการดำเนินธุรกิจ
นายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด เผยถึงที่มาว่าแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้บีไอจีสามารถสยายปีกก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมครบวงจรของประเทศไทยในวันนี้ เกิดจากความเชื่อมั่นและมีรากฐานแนวคิดการเป็น “องค์กรนวัตกรรม” ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบริษัทแม่อย่าง Air Products and Chemicals, Inc. ผู้นำด้านก๊าซอุตสาหกรรมและเคมีภัณฑ์ของโลกจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งนอกจากการยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารงาน ตลอดจนคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและมีความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่เสมอ บริษัทยังมุ่งเน้นกระบวนการสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยส่งเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการให้สอดคล้องกับแนวคิดการสร้างธุรกิจที่เน้น “คุณค่า” และการเติบโตอย่างยั่งยืน
หนึ่งในความสำเร็จด้านนวัตกรรมพลังงานในปีที่ผ่านมาของบีไอจีคือ การพัฒนานวัตกรรมที่เรียกว่า “Oxygen Lancing Technology for Incinerator” ขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนานวัตกรรมด้วยการเพิ่มก๊าซออกซิเจนในกระบวนการเผาไหม้ขยะในเตาเผาขยะอุตสาหกรรมแบบหมุน (Rotary Furnace) ช่วยให้การเผาไหม้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ลดต้นทุน และใช้พลังงานลดลง นับเป็นนวัตกรรมในกระบวนการเผาไหม้ขยะอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกลุ่มขยะที่มีพิษหรืออันตราย (Hazardous Waste) ที่ใช้เชื้อเพลิงเผาไหม้ค่อนข้างสูงในกระบวนการนี้ จึงทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรเชื้อเพลิงค่อนข้างมาก แต่นวัตกรรมที่บีไอจีคิดค้นสามารถลดปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) และลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 30% หรือเทียบเท่ากับ 5,000 ตันต่อปี
“เราคิดเรื่องนี้มานานกว่าสิบปีและมองเห็นว่านวัตกรรมมีความสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ เดิมบริษัทแม่ของเรามีการพัฒนานวัตกรรมโดยนำออกซิเจนไปใช้ในหลายแง่มุม แต่เมืองไทยมองว่าขยะอุตสาหกรรมเป็นประเด็นสำคัญ จึงนำมาพัฒนาเป็นนวัตกรรมดังกล่าว” นายปิยบุตรกล่าว
จากความมุ่งมั่นจริงจังในการพัฒนาผลงานดังกล่าว ไม่เพียงมีการนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ หากยังขยายผลสู่ความสำเร็จด้านความภาคภูมิใจ ด้วยการเป็นหนึ่งใน 66 องค์กรที่ได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัล Thailand Energy Awards 2017 ด้านพลังงานสร้างสรรค์จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน โดยบีไอจีสามารถนำเสนอนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องจนได้รับรางวัลเกียรติยศดังกล่าวสองปีซ้อน
ไม่เพียงการพัฒนานวัตกรรมเพื่อวงการอุตสาหกรรม บีไอจียังพัฒนาต่อเนื่องในด้านพลังงานทางเลือกในอนาคตสำหรับผู้บริโภคในประเทศไทยจากการที่ “ไฮโดรเจน” เป็นอีกหนึ่งก๊าซอุตสาหกรรมที่กำลังถูกวางบทบาทเป็นพลังงานทางเลือกในอนาคต บีไอจีมองเห็นความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และพร้อมต่อยอดด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดจากแนวโน้มการพัฒนารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Energy Vehicle) ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นรถพลังงานสะอาดขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่มีคุณสมบัติสามารถเปลี่ยนแปลงพลังงานเซลส์เชื้อเพลิงให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้ ในฐานะผู้ผลิตก๊าซไฮโดรเจนรายแรกและรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทยนั้น ปัจจุบันบีไอจีมีกำลังการผลิตไฮโดรเจนถึง 17,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง
ด้วยความพร้อมทั้งในด้านกำลังการผลิตในส่วนของก๊าซไฮโดรเจน รวมถึงการนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการผลิตก๊าซไฮโดรเจนเชิงพาณิชย์มายาวนาน บีไอจีจึงร่วมมือกับ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด หนึ่งในผู้พัฒนาและผลิตรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนรายสำคัญของโลก เพื่อร่วมกันพัฒนาการนำพลังงานไฮโดรเจนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ Fuel Cell ในเชิงพาณิชย์ในประเทศไทยในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการร่วมพัฒนาการจัดการจุดบริการเติมไฮโดรเจน รวมถึงความปลอดภัยในด้านการขนส่ง และเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคมีความปลอดภัยและมั่นใจเมื่อถึงวันที่ใช้งานจริง
“การนำก๊าซไฮโดรเจนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องเดินหน้าอย่างรอบคอบ ซึ่งบีไอจีกับพันธมิตรผู้ผลิตรถยนต์ต้องร่วมมือกันพัฒนากันต่อไป” นายปิยบุตรเอ่ยด้วยความเชื่อมั่น
ความร่วมมือดังกล่าวนี้ ยังสะท้อนจุดยืนของบีไอจีในการเป็นผู้ประกอบการอุตสาหรรมไทยระดับแถวหน้าที่ไม่เคยหยุดยั้งการพัฒนาด้วยนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา ได้นำมาสู่ความสำเร็จในปัจจุบัน และยังคงไม่หยุดยั้งที่จะเดินหน้าพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรมประเทศไทยอย่างยั่งยืน